การปกครองสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
สภาพทางการเมืองยังคงรูปแบบของระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์รูปแบบของสถาบันกษัตริย์สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คลายความเป็นเทวราชาลงเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็กลับเน้นคติและรูปแบบของธรรมราชาขึ้นแทนที่ ซึ่งอิงหลักธรรมของพุทธศาสนา คือ ทศพิธราชธรรม
พระมหากษัตริย์คือมูลนายสูงสุดที่อยู่เหนือมูลนายทั้งปวง การปกครองและการบริหารประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้น กล่าวได้ว่า รูปแบบของการปกครอง ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ยังคงยึดตามแบบฉบับที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงวางระเบียบไว้ ต่อมารัชกาลที่ 4 ทรงพิจารณาว่าประเพณีบางอย่างที่เคยปฏิบัติกันมาแต่เดิม เป็นประเพณีที่ล้าสมัย จึงโปรดให้ยกเลิกประเพณีบางประเพณี
พระมหากษัตริย์คือมูลนายสูงสุดที่อยู่เหนือมูลนายทั้งปวง การปกครองและการบริหารประเทศในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้น กล่าวได้ว่า รูปแบบของการปกครอง ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ยังคงยึดตามแบบฉบับที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงวางระเบียบไว้ ต่อมารัชกาลที่ 4 ทรงพิจารณาว่าประเพณีบางอย่างที่เคยปฏิบัติกันมาแต่เดิม เป็นประเพณีที่ล้าสมัย จึงโปรดให้ยกเลิกประเพณีบางประเพณี
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อพระองค์ทรงบรรลุนิติภาวะใน พ.ศ.2416 และทรงว่าราชการด้วยพระองค์เอง จึงทรงเริ่มปรับปรุงการปกครองซึ่งเรียกว่า "การปฏิรูปการปกครอง" แบ่งเป็น 2 ระยะ คืด ตอนต้นรัชกาล และตอนปลายรัชกาล
การปรับปรุงการปกครองตอนต้น ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน มีหน้าที่ในการออกกฎหมายและยกเลิกกฎหมาย รวมทั้งยกเลิกประเพณีโบราณต่างๆ ที่เห็นว่าไม่เหมาะสม ปรากฏว่าสภาทั้ง 2 ดำเนินงานไปได้ไม่นาน ก็ต้องหยุดชะงักเพราะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงที่เรียกว่า " วิกฤตการณ์วังหน้า "
เป็นความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ซึ่งดำรงตำแหน่งวังหน้า อันเนื่องมาจาก ความหวาดระแวงซึ่งกันและกันจนเกือบจะมีการประทะกันขึ้นในปลาย พ.ศ.2417 แต่ก็สามารถยุติลงได้ มีการเปลี่ยนแปลงก็เพียงเล็กน้อย
การปรับปรุงการปกครองตอนต้น ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน มีหน้าที่ในการออกกฎหมายและยกเลิกกฎหมาย รวมทั้งยกเลิกประเพณีโบราณต่างๆ ที่เห็นว่าไม่เหมาะสม ปรากฏว่าสภาทั้ง 2 ดำเนินงานไปได้ไม่นาน ก็ต้องหยุดชะงักเพราะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงที่เรียกว่า " วิกฤตการณ์วังหน้า "
เป็นความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ซึ่งดำรงตำแหน่งวังหน้า อันเนื่องมาจาก ความหวาดระแวงซึ่งกันและกันจนเกือบจะมีการประทะกันขึ้นในปลาย พ.ศ.2417 แต่ก็สามารถยุติลงได้ มีการเปลี่ยนแปลงก็เพียงเล็กน้อย
การปฏิรูปการปกครองตอนปลาย
ส่วนกลางมีการจัดแบ่งหน่วยงานการปกครองออกเป็น 12 กรม ซึ่งต่อมาเปลี่ยนไปใช้คำว่า "กระทรวง" แทน และได้ประกาศตั้งเสนาบดีเจ้ากระทรวงต่างๆขึ้น ยุบตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีและเสนาบดีจตุสดมภ์ทุกตำแหน่ง มีสิทธิเท่าเทียมกันในที่ประชุม ต่อจากนั้นได้ยุบกระทรวงและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเสียใหม่เหลือไว้เพียง 10 กระทรวง คือ
1. กระทรวงมหาดไทย 2. กระทรวงกลาโหม
3. กระทรวงต่างประเทศ 4. กระทรวงวัง
5. กระทรวงเมือง (นครบาล) 6. กระทรวงเกษตราภิบาล
7. กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ 8. กระทรวงยุติธรรม
9. กระทรวงธรรมการ 10. กระทรวงโยธาธิการ
ส่วนกลางมีการจัดแบ่งหน่วยงานการปกครองออกเป็น 12 กรม ซึ่งต่อมาเปลี่ยนไปใช้คำว่า "กระทรวง" แทน และได้ประกาศตั้งเสนาบดีเจ้ากระทรวงต่างๆขึ้น ยุบตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีและเสนาบดีจตุสดมภ์ทุกตำแหน่ง มีสิทธิเท่าเทียมกันในที่ประชุม ต่อจากนั้นได้ยุบกระทรวงและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเสียใหม่เหลือไว้เพียง 10 กระทรวง คือ
1. กระทรวงมหาดไทย 2. กระทรวงกลาโหม
3. กระทรวงต่างประเทศ 4. กระทรวงวัง
5. กระทรวงเมือง (นครบาล) 6. กระทรวงเกษตราภิบาล
7. กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ 8. กระทรวงยุติธรรม
9. กระทรวงธรรมการ 10. กระทรวงโยธาธิการ
การเมืองหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 - 20 มิถุนายน 2476
หลังจากคณะราษฎร์เข้ายึดอำนาจ มีการใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับแรก คือ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม(ชั่วคราว) ต่อเมื่อมีรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ในวันที่ ๑๐ ธันวาคม ปี๒๔๗๕
หลังจากคณะราษฎร์เข้ายึดอำนาจ มีการใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับแรก คือ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม(ชั่วคราว) ต่อเมื่อมีรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ในวันที่ ๑๐ ธันวาคม ปี๒๔๗๕
มีการออกพระราชบัญญัติการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ หลวงประดิษฐ์มนูธรรมต้องเดินทางออกนอกประเทศ ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับคณะราษฎรจึงมีมากขึ้น พ.อ. พระยาพหลพลยุทหเสนา จึงก่อการรัฐประหารขึ้นยึดอำนาจ และขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีอำนาจของคณะราษฎรจึงคืนมาอีกครั้ง
ต่อมาเกิดเหตุการณ์สำคัญหลายอย่างจนทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญูอีกหลายฉบับและปัจจุบันใช้รัฐธรรมนูญูฉบับที่18 ปี 2550